วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561

รีวิว งานจับมือ 3 rd single Shonichi handshake ณ ไบเทค บางนา

 
รูปนี้ผู้เขียนได้ถ่ายคู่กับ Standee ของน้องปูเป้bnk48 หนึ่งในโอชิของผมครับ 
    ในที่สุด งานจับมือหรือ handshake ของน้องๆเมมเบอร์วง BNK48 ในซิลเกิ้ลที่ 3 Shonichi  ก็ผ่านพ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 2 - 3 มิถุนายน ที่ผ่านมา ณ ไบเทค บางนา โดยมีโอตะเข้ามาร่วมในงานนี้กันอย่างล้นหลามและอุ่นหนาฝาคั่งเป็นอย่างมาก และตัวผู้เขียนนั้นได้ร่วมงานนี้เป็นครั้งแรก ได้ร่วมงานนี้ทั้ง 2 วันด้วยเลยครับ ดังนั้น จึงขอบรรยายถึงขั้นตอนและความประทับใจในงานนี้ให้ผู้อื่นได้รับทราบต่อไปคร้าบ 
  สำหรับงานจับมือหรือ handshake นี้ แน่นอนว่า ในเมื่อเริ่มจัดงานกัน ในวันที่ 2 มิถุนายน ดังนั้น เราจะได้ยินว่ามีเหล่าโอตะทั้งหลายได้เข้ามาจับจองพื้นที่บริเวณไบเทค บางนา และมีการแชร์ภาพตามกลุ่มบ้านของ BNK48 กลุ่มต่างๆด้วย ซึ่งกลุ่มคนที่รอกันนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วนใหญ่ๆ คือ
1.กลุ่มคนที่รอและหวังว่าจะได้เป็นคนกลุ่มแรกๆที่จะได้เข้าไปจับมือและพูดคุยกับน้องๆจริงๆ และ
2. กลุ่มที่เพื่อรอจะซื้อสินค้าต่างๆเกี่ยวกับ BNK48 จากทาง อฟช.(ออฟฟิเชียล หมายถึง บริษัท บีเอ็นเค48 จำกัด)
   ซึ่งกลุ่มที่ 2 นี้ เมื่อมีการซื้อของจาก อฟช.เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็จะนำสินค้าเหล่านั้นออกมาขายต่อหรือมาเทรดกับสิ่งที่ต้องการ ซึ่งของซื้อหรือการเทรดของที่นิยม คือ ฟตซ. (โฟโต้เซ็ท) ของเมมเบอร์แต่ละคน ซึ่งจะมีราคาที่แตกต่างกันตามความนิยมหรือความดังของเมมเบอร์แต่ละคน รุ่นของ ฟตซ. ยิ่งถ้าเป็นรุ่นเริ่มแรกสุดราคาจะยิ่งแพงขึ้น และสินค้าต่างๆเกี่ยวกับ BNK48 อีกมากมาย
    ส่วนผู้เขียนนั้น ในวันแรกได้เดินทางไปที่ไบเทค บางนา ในช่วงบ่าย ซึ่งงานจับมือในครั้งนี้ จัดที่ฮอลล์ 98 ซึ่งอยู่บริเวณเดียวกับตึก bhiraj อยู่ติดกับทางเข้า - ออกไบเทค ฝั่งถนนสุขุมวิท ซึ่งบริเวณชั้น 2 จะมี skywalk จาก บีทีเอส เชื่อมต่อจากสถานีบางนา เดินเข้าไปในงานได้สบายๆ และหลีกเลี่ยงการจราจรติดขัดได้เป็นอย่างดีครับ
    เมื่อเดินเข้ามาแล้ว เราก็จะพบบรรดาโอตะนั่งกันเป็นกลุ่มๆอยู่ตามจุดต่างๆ รอบ Hall 98 (และรอบฮอลล์ใกล้เคียงด้วย) ซึ่งมีทั้งที่นั่งรอบุ (คือ รอบเวลา) ที่โอชิ (คือ เมมเบอร์ที่เราชื่นชอบ) จะออกมาจับมือในแต่ละเลนที่ทาง อฟช.กำหนดไว้ กับกลุ่มที่เอาของเกี่ยวกับ BNK48 มาวางขายหรือเทรดตามที่บอกไปข้างต้นน่ะครับ
    ส่วนโซนงานจับมือนั้น เราจะต้องเดินเข้าไปในห้องประชุมใหญ่ของอาคาร Hall 98 ก่อนที่จะเข้าไปในนั้น ก็จะมีทั้งเจ้าหน้าที่ อฟช.และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจตราอยู่ตรงประตูทางเข้า ซึ่งจะต้องมีการเปิดกระเป๋าตรวจดูสัมภาระกันทุกคน และสำหรับคนที่เป็นช่างภาพหรือคนที่ชอบถ่ายรูปจากกล้อง DSLR นั้น ขอบอกได้เลยว่า หมดสิทธิ์เอาเข้าไปด้วยประการทั้งปวง ต้องนำอุปกรณ์วางไว้ข้างนอกเท่านั้น ห้ามนำเข้าไปเด็ดขาด และนอกจากนี้ยังมีกระป๋องโค้ก กระเป๋าสัมภาระที่มีความสูงเกิน 90 ซม. ป้ายไฟ ก็ห้ามนำเอาเข้าไปด้วย ต้องวางไว้ข้างนอกสถานเดียว ดังนั้น สำหรับคนที่มางานนี้ถ้าเป็นไปได้ ควรมาแบบตัวเปล่ามีแค่กระเป๋าสตางค์กับบัตรจับมือเท่านั้น ส่วนคนที่มีความจำเป็นต้องนำสัมภาระมาด้วย ก็ควรพาเพื่อนหรือคนรู้จักมาด้วย เพื่อช่วยเฝ้าสัมภาระในระหว่างที่เข้าไปในงาน
   เมื่อเข้ามาข้างในก็จะเห็นฉากกั้นอันใหญ่อยู่ข้างใน ซึ่งในนั้นคือเลนในการเข้าไปจับมือเมมเบอร์ครับ และพอมองไปทางด้านขวาตรงทางเข้าเลนจับมือ จะมีกลุ่มคนคอยเชียร์คนที่มาร่วมงานให้เข้าไปจับมือในเลนนั้นๆ ซึ่งคนที่มายืนเชียร์กลุ่มนั้นคือบรรดาแอดมินเพจหรือบรรดากลุ่มบ้านต่างๆทางเฟซบุ๊คของน้องๆเมมเบอร์แต่ละคน ซึ่งในงานจับมือนี้ เป็นธรรมเนียมทุกครั้งที่เมื่อเราจับมือน้องๆคนไหนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราสามารถเดินเข้าไปที่กลุ่มกองเชียร์บ้านนั้นๆ เพื่อขอรับของที่ระลึกได้ครับ ซึ่งของที่ระลึกส่วนใหญ่มักจะเป็นรูป แฟนอาร์ทของน้องๆคนนั้นเสียเป็นส่วนมาก แต่ก็มีของที่ระลึกอื่นๆ เช่น เข็มกลัดพร้อมสติ๊กเกอร์ครัวคุณไข่ สำหรับคนเข้าไปจับมือน้องไข่มุก หรือพวกกุญแจฝูงเป็ดแฟมิลี่สำหรับคนที่เข้าไปจับมือบอสปู๊ป เป็นต้น
   สำหรับคนที่กังวลกลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกนั้น ตรงบริเวณหน้าทางเข้าเลนจับมือแต่ละเลน ก็จะมีรูปเมมเบอร์พร้อมกับช่วงบุกำหนดไว้อย่างชัดเจนว่า ตั้งแต่กี่โมงถึงกี่โมง ขณะเดียวกันก็จะมีเจ้าหน้าที่ของ อฟช.คอยยืนถือป้ายของเมมเบอร์ที่กำลังประจำเลนอยู่ พร้อมทั้งให้คำแนะนำต่างๆแก่คนที่มาสอบถาม เมื่อเรารู้ว่าเมมเบอร์คนที่เราต้องการจับมือนั้นอยู่เลนไหน สำหรับเมมเบอร์ดังๆหรือคนรู้จักอย่างมาก ก็ต้องหาหางแถวให้ได้ก่อนเลยอันดับแรก 55555 เพื่อต่อคิวในการจับมือ ส่วนสายอันเดอร์จะสบายหน่อยเพราะแถวค่อนข้างสั้น หาหางแถวง่ายมากกกกก
ของที่ระลึกจากเลนจับมือของน้องจิ๊บ BNK48
ซึ่งจะแจกของที่ระลึกแบบนี้
หลังจากเข้าไปจับมือเมมเบอร์เรียบร้อยแล้ว
  เมื่อเราต่อคิวและใกล้จะถึงน้องแล้วนั้น ก็จะมีเจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่ง บอกและเตือนให้นำสัมภาระอีกส่วนหนึ่งที่สามารถนำเข้ามาได้วางไว้ในตะกร้า รวมทั้งโทรศัพท์มือถือทุกเครื่องก็จะต้องออกมาวางไว้ในตะกร้าด้วย (พูดง่ายๆคือ ตอนนี้เราจะมีแค่บัตรจับมือเท่านั้น ที่จะถือได้) เมื่อถึงจุดที่เจ้าหน้าที่รับัตรคิว เราก็ยื่นบัตรจับมือนั้นให้กับเจ้าหน้าที่ ซึ่งเมื่อทาง จนท.ได้บัตรจับมือและตัวเราได้จับมือน้องๆแล้ว เราก็จะมีเวลาในการพูดคุยกับน้องเขาหรือจะไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอะไรก็ได้ ภายใต้เวลา 8 วินาทีครับ (ขอย้ำ 8 วินาทีคร้าบบบ) ซึ่งเมื่อครบกำหนดเวลา 8 วินาทีแล้ว ทางเจ้าหน้าที่ที่จับเวลา (ก็คนเดียวกับที่รับบัตรจับมือของเรา) จะบอกเตือนเราว่า หมดเวลาแล้ว เราก็ควรจะรีบเอามือออกจากน้องเมมเบอร์โดยเร็วพลัน เพราะมิฉะนั้นจะมีการ์ดอีกคนซึ่งอยู่อีกด้านกับ จนท.จับเวลา คอยผลักแขนเราออกมา หลังจากนั้นก็เดินออกจากเลนไปอย่างสงบๆ

   นอกจากรอบในการจับมือแบบปกติแล้ว ก็ยังมีรอบจับมือในรอบพิเศษ ซึ่งถ้ามีผู้สนใจอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร จะนำมาให้อ่านในโอกาสต่อไปนะครับ +++
   สำหรับความรู้สึกของเราในการเข้าร่วมงานและได้จับมือน้องๆเมมเบอร์ที่เราเป็นโอชินั้น (มี 3 คน ที่เป็นโอชิของกระผมและเข้าไปจับมือนั้น คือ น้องจิ๊บBNK48 ปูเป้BNK48 และมิโอริBNK48 จับมือในรอบปกติ ส่วนตาหวานBNK48 เราเลือกจับมือในรอบพิเศษ) ก็บอกได้เลยว่า นอกจากจะทำให้เราได้มีความสุขที่ได้เจอและคุยกับน้องๆเมมเบอร์แล้ว ยังรู้สึกถึงพลังใจที่ได้รับมาจากน้องๆอย่างเต็มเปี่ยม ซึ่งพลังตรงนี้บอกได้เลยว่า ชีวิตจะดูดีมีคุณค่ามากขึ้น และเมื่อมีน้องๆให้กำลังใจเช่นนี้แล้ว เราก็พร้อมที่จะสู้ต่ออุปสรรคต่างๆได้อย่างไม่ย่อท้อ ซึ่งทั้งตัวเราและน้องต่างก็เป็นพลังใจให้แก่กันและกัน เรากล้าพูดได้เต็มปากเลยครับว่า คนที่เป็นโอตะBNK48 นั้น สักครั้งหนึ่งในชีวิตต้องมางานนี้ให้ได้

วันอังคารที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559

ฉลอง 100 ปี วัดซางตาครู้ส หลังที่ 3


   เมื่อวันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน 2016 ที่ผ่านมา ทางวัดซางตาครู้ส กุฎีจีน เขตธนบุรี กรุงเทพฯ ได้จัดให้มีการฉลองวัดประจำปีขึ้น และปีนี้มีความพิเศษ ที่ตัววัดซางตาครู้สหลังปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นวัดหลังที่ 3 นั้น มีอายุครบ 100 ปีในปีนี้ จึงจัดให้มีการฉลองอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเทิดเกียรติและโมทนาคุณพระเจ้าในโอกาสนี้เป็นพิเศษ
    โดยเวลา 10.30 น. เป็นพิธีมิสซาฉลองวัดและฉลองเทิดทูนไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์ โดยพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประมุขอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯเป็นประธาน ร่วมกับพระคุณเจ้ายอแซฟ สังวาลย์ ศุระศรางค์ พระสังฆราชกิตติคุณแห่งสังฆมณฑลเชียงใหม่ และคุณพ่อยอแซฟ วุฒิเลิศ แห่ล้อม อุปสังฆราชแห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 
     เนื่องจากในโอกาสฉลองครบ 100 ปี ของวัดหลังปัจจุบันนั้น ทำให้สัตบุรุษต่างหลั่งไหลเพื่อมาร่วมชื่นชมยินดีกันเป็นจำนวนมาก จนทางวัดต้องจัดที่นั่งบริเวณทางเดินข้างวัดทั้งสองด้าน และบริเวณลานด้านหน้าวัดจนเต็มพื้นที่ จึงทำให้ในปีนี้ ไม่มีการแห่พระธาตุไม้กางเขนรอบวัด แต่สัตบุรุษก็มาร่วมพิธีมิสซาและขอพรจากพระโดยผ่านทางการสวดต่อหน้าพระธาตุไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์อย่างดีคร้าบ 


ประวัติวัดซางตาครู้ส 

วัดซางตาครู้ส เป็นวัดที่เก่าแก่วัดหนึ่ง ของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ มีประวัติความเป็นมาโดยสรุปดังนี้
      
      วันที่ 4 มีนาม พ.ศ.2312 ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี คุณพ่อฌาคส์ กอรร์ สงฆ์มิชชันนารี ชาวฝรั่งเศส ที่ได้ลี้ภัยสงครามไปอยู่กัมพูชา เมื่อครั้งที่กรุงศรีอยุธยาเสียกรุงให้แก่พม่า ครั้งที่ 2 ได้เดินทางกลับมาสยาม พร้อมกับคริสตชนชาวเวียดนาม และชาวไทยจำนวนหนึ่ง เนื่องจากทราบว่าได้มีการตั้งเมืองหลวงใหม่ขึ้นที่กรุงธนบุรี จากนั้นคุณพ่อได้พบกับชาวโปรตุเกส และได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เพื่อขอพึ่งพระบรมโพธิสมภาร ได้รับพระราชทานเงินรวมถึงเรือพายอีก 1 ลำ ไว้ใช้งาน ต่อมาด้วยความวิริยะของคุณพ่อ จึงสามารถรวบรวมคริสตชนที่กระจัดกระจาย จากภาวะสงครามมาอยู่รวมกันประมาณ 400 คน ซึ่งส่วนใหญ่มีเชื้อสายโปรตุเกส
ด้านในของวัดซางตาครู้ส

      วันที่ 14 กันยายน พ.ศ.2312 ตรงกับวัน “ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน” สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้ทรงพระราชทานที่ดินแปลงหนึ่งแด่คุณพ่อกอรร์ เพื่อให้กลุ่มคริสตชนอาศัยอยู่ ดังนั้นเพื่อเป็นการระลึกถึงเหตุการณ์สำคัญครั้งนั้น คุณพ่อกอรร์ จึงตั้งชื่อที่ดินผืนนี้รวมถึงวัดน้อยที่สร้างขึ้นว่า “Santa Cruz” เป็นภาษาโปรตุเกส แปลว่า “ไม้กางเขนศักดิ์สิทธิ์”

       วันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ.2313 สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมคุณพ่อกอรร์ ณ ที่ที่ได้พระราชทานที่ดินให้นี้ เมื่อทรงทอดพระเนตร เห็นว่า วัดน้อยไม่มีข้างฝามีเพียงแต่หลังคาและเสา จึงทรงพระราชทานข้างฝาวัดให้ (สันนิษฐานว่าเป็นวัดไม้) และได้ใช้ประกอบสาสนกิจเรื่อยมาจนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มิสซังสยามขณะนั้นปกครองโดยพระสังฆราชอังตวน การ์โนลต์  ได้สร้างสามเณราลัย พร้อมด้วยโรงพิมพ์แห่งแรกของสยามขึ้น ณ วัดซางตาครู้สแห่งนี้ (ในเวลาต่อมา สามเณราลัยและโรงพิมพ์ได้ย้ายไปอยู่ที่วัดอัสสัมชัญ) ในสมัยของพระสังฆราชฌัง – ปอล กูร์เวอซี ต่อมาได้มอบหมายให้คุณพ่อฌอง – บัปติส ปัลเลอกัวซ์ สร้างวัดหลังใหม่ แทนหลังเดิมที่ใช้มาถึง 65 ปี โดยวัดหลังใหม่สร้างแล้วเสร็จในปี .ศ.2379 ด้วยสถาปัตยกรรมตามแบบสมัยรัชกาลที่ 3 ที่มีรูปทรงประยุกต์จีน – ไทย ก่ออิฐถือปูน และมีลวดลายแกะสลักแบบจีน – ไทย และฝรั่งเศส กลมกลืนอยู่บนตัวอาคารโบสถ์ด้านหน้า วัดแห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในอีกชื่อหนึ่งว่า “วัดกุฎีจีน”
 
พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ประธานพิธีมิสซา 
        ต่อมา คุณพ่อกูเลียลโม กิ๊น ดากรู้ส (สงฆ์ชาวไทยเชื้อสายโปรตุเกส) ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสในปี พ.ศ.2456 เล็งเห็นว่า วัดหลังที่สองที่ใช้งานมานานถึง 81 ปีแล้ว มีความทรุดโทรมลงอย่างมาก เกินกว่าจะซ่อมแซมได้ จึงดำริที่จะสร้างวัดหลังใหม่ขึ้นแทนวัดหลังเดิม ได้ทำการก่อสร้างและใช้เวลาก่อสร้างถึง 2 ปีกับ 3 เดือนจึงแล้วเสร็จ ตัวอาคารวัดทั้งภายในและภายนอกของวัดหลังใหม่ ได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมเรเนสซองส์ และนีโอ – คลาสสิค และในวันที่ 17 กันยายน พ.ศ.2459 พระสังฆราชเรอเน แปร์รอส ได้ประกอบพิธีเสกวัดอย่างสง่า และใช้วัดหลังนี้ประกอบศาสนกิจต่างๆเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบัน

     ในปี พ.ศ.2537 คุณพ่อสมศักดิ์ ธิราศักดิ์ เจ้าอาวาสในขIะนั้น ได้ทำการบูรณะวัด โอกาสฉลอง 80 ปี ของวัด (บริษัท มรดกโลก เป็นผู้ดำเนินการบูรณะทั้งภายในและภายนอก ได้เปลี่ยนกระจกสี Stained-Glass เป็นภาพเล่าเรื่องต่างๆจากพระคัมภีร์ โดยร้าน ประกายแก้ว ประเทศไทย)

วันพุธที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ฉลองวัดเซนต์หลุยส์ ปี 2016

ฉลองวัด, นักบุญหลุยส์

      เมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 สิงหาคม 2559 ทางวัดเซนต์หลุยส์ ถนนสาทรใต้ เขตสาทร กรุงเทพฯ ได้จัดให้มีการฉลองวัดประจำปี 2016 ขึ้น โดยในปีนี้ถือเป็นการฉลองวัดปีที่ 59 ด้วย 

      โดยการฉลองวัดในปีนี้ ได้รับเกียรติจากพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช มาเป็นเป็นประธานฉลองวัดในครั้งนี้

วัดเซนต์หลุยส์
ภาพการต้อนรับพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช
          สำหรับวัดเซนต์หลุยส์นั้น ถือได้ว่าเป็นวัดคาทอลิกแห่งหนึ่งที่ตั้งอยุ่ในบริเวณที่มีความพลุกพล่านและมีความสำคัญทางด้านคมนาคมและเศรษฐกิจ สามารถเดินทางมาได้สะดวกสบายเป็นอย่างยิ่ง เพราะมีทั้งทางรถยนตร์ ทางรถเมล์ และทางรถไฟฟ้าบีทีเอส จึงเป็นวัดที่ถือได้ว่าเป็นที่ที่มีความสงบ ขณะเดียวกันมีผู้คนรอบข้างที่ได้เห็นและได้สัมผัสถึงความรักของพระผ่านทางวัดแห่งนี้เป็นจำนวนมาก 
สาทร, กรุงเทพมหานคร, ศาสนาคริสต์

นักบุญหลุยส์, พระคาร์ดินัล, ถวายช่อดอกไม้

     ในปัจจุบัน (ปี 2016) วัดเซนต์หลุยส์มีคุณพ่อสุพจน์ ฤกษ์สุจริต เป็นเจ้าอาวาสคนที่ 12 และวัดเซนต์หลุยส์มีกำหนดเวลามิสซา ดังนี้
       
      วันจันทร์ - วันเสาร์ : 06.00 น., 17.30 น.
      วันอาทิตย์ : 06.00 น., 08.00 น., 10.00 น., 12.00 น., 17.30 น.

saintlouis, catholic, วัดเซนต์หลุยส์
นักบุญหลุยส์ กษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศส





วันจันทร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2558

กาลหว่าร์ งามสง่าคู่เจ้าพระยา


"ราชินีแห่งสายประคำศักดิ์สิทธิ์ องค์พระจิตอยู่ชิดในดวงวิญญาณ
ทรงเปี่ยมล้นด้วยหรรษทาน  มารดาแห่งพระเจ้า"
จั่วหัวตอนต้นด้วยบทเพลงนี้ ก็คงไม่ต้องเดาให้วุ่นละครับ ว่าจะพูดถึงเรื่องอะไร ก็เฉลยให้เห็นโต้งๆกันแล้วคร้าบ ไหนๆ ไม่ให้เสียเวลาและเสียพื้นที่กระดาษ เรามาพูดถึงเรื่อง งานฉลองวัดแม่พระลูกประคำ ที่กาลหว่าร์กันดีกว่าครับ 

วัดหลังเขต 
วัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่าร์แห่งนี้ สถานที่ตั้งอยู่ที่ 1318 ซ.วานิช 2 ถนนโยธา แขวงตลาดน้อย เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร 10100 ซึ่งเป็นวัดที่สร้างโดยศิลปะแบบโกธิค วัดนี้ตั้งโดยหันหน้าวัดออกไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา ขณะที่ด้านข้างของวัดก็จะเป็นพื้นที่โรงเรียนกุหลาบวิทยา ซึ่งเป็นโรงเรียนของทางอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ และที่สำคัญ วัดนี้ตั้งอยู่หลังสำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ โดยมีแค่ซอยเล็กๆมาคั่นกลางเท่านั้นเองครับ  
วัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่าร์ รูปทรงสถาปัตยกรรมแบบโกธิค 

พิธีฉลองวัด
ในปี ค.ศ. 2015 นี้ ทางวัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่าร์ ได้จัดให้มีพิธีมิสซาฉลองวัด ในวันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม 2015 โดยได้เชิญพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช เป็นประธาน

  • ในเวลา 09.30 น. พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช  ได้เดินทางมาถึงวัดโดยวงดุุริยางค์ได้บรรเลงเพลงต้อนรับ พร้อมกับคุณพ่อประเสริฐ ตรรกเวศม์ เจ้าอาวาสวัดกาลหว่าร์ พร้อมกับประธานสภาอภิบาลวัดเดินพาพระคุณเจ้า เข้าไปสวดภาวนาในวัดสักครู่หนึ่ง ก่อนเดินทางไปยังห้องพักรับรองที่ตึกของโรงเรียนกุหลาบวิทยา 
  • เวลา 10.00 น. เริ่มพิธีบูชาขอบพระคุณ โดยพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช เป็นประธาน ร่วมกับพระคุณเจ้ายอแซฟ สังวาลย์ ศุระศรางค์ พระสังฆราชกิตติคุณแห่งสังฆมณฑลเชียงใหม่ และคุณพ่อยอแซฟ วุฒิเลิศ แห่ล้อม อุปสังฆราช 
  • พิธีมิสซาที่ใช้  ถึงแม้จะเป็นวันฉลองวัดแม่พระลูกประคำ กาลหว่่าร์ ก็จริงอยู่ แต่ทั้งบทภาวนาและบทอ่านในมิสซานี้ เป็นบทประจำวันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดาเลย ซึ่งพระวรสารในวันนี้ได้พูดถึงเรื่องชาวฟาริสีบางคนทูลถามเพื่อจะจับผิดพระเยซูเจ้าถึงเรื่องการหย่าร้าง ซึ่งพระเยซูเจ้าได้ทรงตอบอย่างชัดเจนว่า การหย่าร้างกันและไปแต่งงานกับอีกคนหนึ่งนั้น ถือเป็นการผิดประเวณีอย่างชัดเจน และกล่าวถึงการที่เราจะเข้าสู่พระอาณาจักรสวรรค์ได้นั้น เราต้องมีจิตใจซื่อตรงและบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเด็กเล็กๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงชื่นชมในพระวรสารเป็นพิเศษ 
เด็กๆที่มาขับร้องในช่วงขอบคุณประธานในพิธี


สุนทรพจน์ภาษาจีน  

     หลายคนคงรู้นะครับว่า วัดกาลหว่าร์นั้น เป็นวัดคาทอลิกที่มีคริสตชนชาวจีนที่น่าจะเยอะที่สุดในประเทศไทยแล้วละครับ และยังเป็นวัดคาทอลิกวัดเดียวที่มีมิสซาภาษาจีนด้วย ดังนั้น ในงานฉลองวัดแบบนี้  ทางสภาอภิบาลก็เลยมีการกล่าวสุนทรพจน์ขอบคุณพระคุณเจ้าเป็นภาษาจีนซะเลย เหอๆๆ แต่ก็ไม่ต้องตกใจมากไปครับ เพราะทางวัดยังมีภาษาไทยแปลให้ท่านฟังต่อจากภาษาจีนคร้าบ 
    และที่พิเศษ คือหลังจากกล่าวสุนทรพจน์เสร็จ ทางวัดได้จัดให้นักเรียนของโรงเรียนกุหลาบวิทยา ขับร้องเพลงเพื่อเป็นกำลังใจให้พระคุณเจ้าถึง 2 เพลงด้วยกัน นั่นคือเพลง แสงทองส่องโลกา และอีกเพลงหนึ่ง (จำไม่ได้ละ 555) 
ช่วงพิธีแห่แม่พระ

    


ฝนตกหลังจบพิธี
     ในข้อสุดท้ายนี้ เป็นข้อสังเกตเล็กๆของเราน่ะครับว่า ในทุกๆปี เวลาฉลองวัดกาลหว่าร์ ไม่ว่าจะเป็นช่วงวันก่อนฉลองวัด หรือช่วงก่อนมิสซาฉลองวัด มักจะมีปัญหาฝนตกแทบจะเรียกได้ว่าทุกวันเลย พอมาถึงช่วงเวลามีมิสซาฉลองวัดและช่วงพิธีแห่ ท้องฟ้ากลับแจ่มใสซาบซ่าเป็นอย่างมาก  แต่พอเสร็จจากพิธีแล้ว ขณะที่สัตบุรุษยังเดินทางกลับบ้านไม่หมด ฝนก็มักจะตกลงมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยซะงั้น ซึ่งเราก็สังเกตุว่ามันเป็นเช่นนี้ทุกปีเลย ไม่รู้ว่าเห็นด้วยกับหัวข้อนี้มากน้อยกันแค่ไหน บอกกล่าวกันได้เสมอครับ

จบการรายงาน
นัทตี้  05/10/2015



วันพุธที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2558

กรุงเทพฯ - บางนกแขวก ความเชื่อที่เป็นหนึ่งเดียวกัน

หนึ่งในประวัติศาสตร์ และหนึ่งในความทรงจำ ณ บางนกแขวก ดินแดนแห่งจุดเริ่มต้นหลายสิ่งหลายอย่างในพระศาสนจักรคาทอลิกไทย
ปัญญา, เกรียงศักดิ์
พระคุณเจ้ายอห์น บอสโก ปัญญา กฤษเจริญ (ซ้าย) และพระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช (ขวา)

            ในขณะที่เราเริ่มเขียน Blog นี้ ก็เป็นช่วงบ่ายของวันที่ 7 กันยายน 2015 หลังจากเหตุการณ์ที่น่าจะได้ชื่อว่า เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญของทางสังฆมณฑลราชบุรีนี้เลย คือ การที่พระคาร์ดินัลฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ได้มาเยี่ยมเยียนเชิงอภิบาล หรือ Pastoral Visit ณ สังฆมณฑลราชบุรี พร้อมกับงานฉลองอาสนวิหารแม่พระบังเกิด บางนกแขวก ในเวลาเดียวกัน เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2015
            สำหรับเรา นี่ถือว่าเป็นงานที่ยิ่งใหญ่และพิเศษสุดๆ สำหรับคริสตชนในสังฆมณฑลราชบุรีซึ่งตัวผู้เขียนเอง ก็ได้มาร่วมเป็นประจักษ์พยานถึงเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่นี้ เลยเห็นว่ามีคุณค่าในหลายๆด้าน ก็เลยตั้งใจจะเขียนถึงเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับงานในวันนั้นให้ได้อ่านกันครับ
            
        บางนกแขวก ดินแดนแห่งสวน

            การเดินทางของเรานั้น เริ่มต้นตั้งแต่เวลาประมาณตี 4 ที่รีบลุกขึ้นมาจัดแจงตัวเอง และรีบเดินทางมาที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฝั่งใต้ทางด่วน ถ.พหลโยธิน ขาออก  เพื่อรอขึ้นรถตู้จากกรุงเทพฯเดินทางไปยังแม่กลอง ซึ่งรถเที่ยวแรกที่ได้นั่ง  ออกจากใต้ทางด่วนเวลาประมาณ 06.10 น. และเดินทางถึงตลาดแม่กลอง ซึ่งเป็นจุดสิ้นสุดของรถตู้สายกรุงเทพฯ – แม่กลอง ปรากฏว่าด้วยความโชคดีอย่างยิ่ง  คือ มีซิสเตอร์ท่านหนึ่งที่เขารู้จักเรา ได้เสนอที่จะให้ญาติของซิสเตอร์ซึ่งจะต้องมารับหลานที่ตลาดแม่กลองในช่วงเวลาเดียวกันนั้น รับเราขึ้นรถเพื่อจะเข้าไปที่บางนกแขวกด้วยเลย หลังจากลงจากรถตู้ไปได้ไม่ถึง 5 นาที ก็มีรถมารับหลานของซิสเตอร์และผมเดินทางไปสู่บางนกแขวกด้วย  ก็ขอขอบพระคุณซิสเตอร์มา ณ โอกาสนี้ ยังไงผมก็จะสวดภาวนาให้บ่อยๆเลยคร้าบบบ

ศาลาบริเวณหลังถ้ำแม่พระ เป็นที่ตั้งของทูตสวรรค์ประจำวันทั้ง 7
           
 
อาสนวิหารแม่พระบังเกิด บางนกแขวก 06/09/2015
ระหว่างการเดินทางเข้มายังบางนกแขวกก็พบว่า สองข้างทางนั้นเต็มไปด้วยเรือกสวนผลไม้กันสองข้างทาง สลับบ้านคนเป็นระยะๆ  ขระเดียวกัน ก็มีต้นไม้ขึ้นเป็นจำนวนมากดูสดชื่นและร่มรื่นเป็นอย่างดี รวมทั้งยังมีร้านขายขนมไส้ที่ค่อนข้างลือชื่อในย่านนี้ด้วย  เราใช้เวลาเดินทางในช่วงนี้ประมาณ 20 นาทีได้ ก็มาถึงที่อาสนวิหารบางนกแขวกประมาณ 07.30 น. พอมาถึงแล้ว เราก็จัดแจงพาตัวเองเดินสำรวจดู ก็พบสิ่งต่างๆหลายอย่าง ที่ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยพบไม่เคยเห็น   ไม่ว่าจะเป็นรูปปั้นแม่พระบังเกิด และศาลาที่รวบรวมเทวดาทั้ง 7 วันโดยมีบ่อปลาสร้างความอภิรมย์เพิ่มความศรัทธาด้วย ซึ่ง 2 สิ่งนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดเด่นสำหรับงานฉลองวัดนี้ได้ด้วยเช่นกันครับ    
            
 รูปปั้นแม่พระบังเกิด หนึ่งเดียวในบางนกแขวก
            
              ในปี 2015 นี้ ทางวัดแม่พระบังเกิด บางนกแขวก ก็มีไอเดียใหม่ใสกิ๊ง  ในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆอย่างหนึ่งนั่นคือ การทำรูปปั้นแม่พระบังเกิด ซึ่งน่าจะเป็นที่แรกในประเทศไทย ที่มีการทำแม่พระรูปปั้นในแบบนี้ (ประวัติศาสตร์ได้อีกแล้วนะ 555) โดยจะเป็นรูปแม่พระในวัยเด็กนอนอยู่ตรงกลาง และมีท่านนักบุญอันนาและนักบุญยออากิม อยู่ข้างๆ รูปทรงที่ว่านี้  ถ้าบางท่านนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงตอนเราจัดถ้ำพระกุมารที่พระกุมารทรงอยู่ตรงกลางและมีนักบุญยอแซฟกับแม่พระอยู่ข้างๆน่ะครับ จะใกล้เคียงแบบนั้นเลย  ทีนี้ ถ้าถามว่า แรงบันดาลใจในการทำรูปปั้นแม่พระบังเกิดนี้ มาจากไหน? ไปหาไกลหรือไม่? คำตอบคือ ไม่ไกลเลยครับ!!! เพราะแบบของรูปนี้มาจากกระจกสีตรงหลังพระแท่นของอาสนวิหารนี้เองคร้าบ เหอๆๆ
            
       การต้อนรับพระคาร์ดินัล
            
              อย่างที่ทราบกันอยู่แล้วว่า ในปีนี้ นอกจากจะมีการจัดฉลองอาสนแม่พระบังเกิดแล้ว ทางสังฆมณฑลราชบุรี ยังถือเอาโอกาสอันดีนี้ ในการต้อนรับพระคาร์ดินัล ฟรังซิส เซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช แห่งอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ในโอกาสเยี่ยมเยียนเชิงอภิบาล (Pastoral Visit) ที่สังฆมณฑลราชบุรี และร่วมแสดงความยินดีกับพระคุณเจ้าในโอกาสที่ได้รับการสถาปนาจากพระสันตะปาปาฟรังซิส ให้เป็นพระคาร์ดินัล เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2015 ด้วยครับ
            ตามกำหนดการเดิม ท่านจะเดินทางออกจากกรุงเทพฯ เพื่อมาที่อาสนวิหารแม่พระบังเกิดในเวลา 09.30 น. เลย แต่ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ หรือเพราะชื่อเสียงในการทำอาหารของพ่อครัวประจำสำนักมิสซังราชบุรี ดังไปถึงหูพระคาร์ดินัลกันแน่ (ฮา) จึงทำให้ท่านได้แวะมาที่สำนักมิสซังราชบุรีก่อนในเวลาประมาณ 08.00 น. ซึ่งภาพในช่วงเวลานั้น เป็นภาพที่บอกได้เลยว่า หาได้ยากยิ่ง เพราะตากล้องหลักๆทั้งหลาย ต่างมาอยู่ที่บางนกแขวกพร้อมหน้ากันในช่วงเวลานั้นแล้วครับ 55555
            หลังจากที่ท่านได้แวะพักที่สำนักมิสซังราชบุรีสักพักหนี่งแล้ว พระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ ก็ได้เดินทางมาพร้อมกับพระคุณเจ้าปัญญา กฤษเจริญ โดยนั่งรถตู้คันเดียวกัน มาถึงอาสนวิหารแม่พระบังเกิด บางนกแขวก ในเวลาประมาณ 9 โมงครึ่ง เมื่อมาถึงก็มีการต้อนรับโดยเปิดเพลง “สดุดีพระสันตะปาปา” ต่อด้วยพระคุณเจ้าปัญญากล่าวรายงานแก่พระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ ตามด้วยการแสดงรำไทยต้อนรับ หลังจากนั้นพระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ พระคุณเจ้าปัญญาและคณะสงฆ์ของสังฆมณฑลราชบุรีจำนวนหนึ่งได้เดินไปทักทายสัตบุรุษที่ตั้งแถวรอรับท่าน

ช่วงพิธีการต้อนรับพระคาร์ดินัลและการเดินทักทายสัตบุรุษที่ตั้งแถวต้อนรับ 

            การตั้งแถวของสัตบุรุษที่รอรับท่านนั้น สังเกตได้ว่าจะมีสภาอภิบาลวัดในแต่ละวัด สามเณร เณรี คณะนักบวช และกลุ่มองค์กรต่างๆในสังฆมณฑลราชบุรี ยืนสองฝากฝั่งรอต้อนรับพระคุณเจ้าทั้งสองด้วยความชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง
            ต่อจากนั้น   พระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์พร้อมกับพระคุณเจ้าปัญญา ได้ถวายพวงมาลัยแก่รูปปั้นบุญราศี คุณพ่อนิโคลาส ที่ตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำแม่กลอง และได้ไปถวายพวงมาลัยแก่อนุสาวรีย์คุณพ่อเป่าที่หน้าบ้านพักพระสงฆ์ด้วย หลังจากนั้นจึงได้เข้าไปพักผ่อนที่บ้านพักพระสงฆ์สักครู่ โดยเรารู้มาภายหลังว่า ได้มีรายการหนึ่งทางช่อง 5 มาขอสัมภาษณ์ทั้งพระคาร์ดินัลและพระคุณเจ้าปัญญาด้วย (ใครรู้ก็แจ้งเบาะแสทีคร้าบ)
            พิธีมิสซาโอกาสฉลองวัด เริ่มต้นเวลาประมาณ 10.15 น. ตามธรรมเนียมของสังฆมณฑลราชบุรี  ในเวลาฉลองวัดจะจัดให้มีการแห่รูปแม่พระ หรือรูปนักบุญองค์อุปถัมภ์ของวัด ในช่วงก่อนพิธีมิสซา (ยกเว้นวัดนักบุญอันตน โคกมดตะนอย ที่จะแห่หลังจากพิธีมิสซา)  หลังจากแห่พระรูปแม่พระรอบอาสนวิหารแล้ว ได้มีการประกอบพิธีเสกรูปปั้นแม่พระบังเกิด โดยพระคาร์ดินัล เป็นผู้ประกอบพิธี 
พิธีเสกพระรูปแม่พระบังเกิด 
            หลังจากนั้นก็เป็นมิสซาฉลองอาสนวิหารอย่างสง่า   โดยใช้บทอ่านและบทมิสซาของวันอาทิตย์ สัปดาห์ที่ 23 เทศกาลธรรมดา  และหลังจากรับศีลมหาสนิทแล้ว ก่อนที่จะอวยพรปิดพิธี พระคาร์ดินัล   ฟรังซิสเซเวียร์ เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ได้นำสวดเพื่อขอรับพระคุณการุณย์ครบบริบูรณ์ด้วย (อันนี้คาดว่าคงเป็นเพราะอาสนวิหารแห่งนี้ ทางสังฆมณฑลราชบุรีได้เลือกให้เป็นสถานที่สำหรับแสวงบุญในปีศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรไทยก็เป็นได้)   
            

อาหารสำหรับพระสงฆ์และนักบวช อร่อยจิ๊งงงง
            
             ที่ตั้งหัวข้อนี้มา ไม่ใช่เพราะว่าเราเป็นคนมีเส้นมีสาย หรือใหญ่โตอะไรขนาดนั้นหรอกครับ เรื่องนี้ที่มาที่ไปมันเป็นแบบนี้ครับ
            หลังจากพิธีมิสซาแล้ว ด้วยความที่มีสัญชาติญาณของตากล้องนั้น การถ่ายรูปกับวัดหรือกับส่วนต่างๆของวัดเพิ่มเติมหลังมิสซานั้น  เป็นสิ่งที่ควรพึงกระทำ (แต่อย่ามากเกินไปก็เป็นดี) ซึ่งงานนี้ ตัวข้าพเจ้า กอล์ฟ และโจ้ 3 สหายแก๊งเกรียนกล้องหนุ่มหล่อที่สุดของกรุงเทพฯ ก็ได้ถ่ายรูปเก็บมุมต่างๆ เก็บรายละเอียดเพิ่มเติม ซึ่งก็ได้รับความอนุเคราะห์จากพี่เติ้ล คนใหญ่คนโตแห่งบางนกแขวก (ถ้าคุณคิดว่าใหญ่ขนาดไหน ให้มาดูที่หุ่นเขาเลยดีๆ แล้วคุณจะเชื่อโดยบัดดล 5555) จัดหามุมต่างๆของวัด รวมถึงส่วนที่สำคัญในการถ่ายรูปไว้เยอะ
            ประเด็นอยู่ตรงนี้ครับ คือ หลังจากถ่ายรูปกันเสร็จสิ้นแล้วนั้น  ปรากฏว่า พอมองไปจุดที่มีการแจกอาหารสำหรับสัตบุรุษนั้น ก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่า และอ้างว้าง นั่นแปลว่า อาหารหมดเกลี้ยงละครับ ทีนี้ทำไงละ? พวกเราทั้งสามก็ต้องอาศัยบารมีพี่เติ้ลนี่แหละ  ที่ได้พาเราเดินไปจุดที่พอมีอาหารเหลืออยู่  ปรากฎว่าหวยตกมาที่ที่ทานอาหารสำหรับพระสงฆ์และนักบวชนี่แหละ ซึ่งเราทั้ง 3 คนพร้อมกับเติ้ล ก็นั่งโต๊ะด้วยกันก็นั่งกินอาหารกันจนอิ่ม เพราะอาหารอร่อยมาก โดยเฉพาะสตูมีทบอลนี่ สุดยอดเลย (อยากรู้จังว่าใครทำ 555)  หลังจากนั้นก็เป็นช่วงแยกย้ายเดินทางกลับบ้านละครับ

            สรุปการเดินทางในครั้งนี้  บอกได้เลยว่าเป็นอะไรที่สุดยอดจริงๆ และภาพการจับมือระหว่างพระคุณเจ้าปัญญา กฤษเจริญ กับพระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ นั้น น่าจะเป็นภาพประวัติศาสตร์ที่จะมีการกล่าวถึงต่อไปในภายภาคหน้าอย่างแน่นอนครับ ถึงแม้จะเหนื่อยและร้อนมากกกกกก (ชนิดโค้กที่พี่เติ้ลให้ยังเอาไม่อยู่เลย 5555) แต่ก็บอกได้เลยว่า คุ้มค่าจริงๆ และงานนี้ ถ้าจะรวมงานฉลองวัดเด่นๆในปี 2015 นี่จะติดโผแน่นอนเลยคร้าบบบ

ปล.ไหนๆก็ไหนๆแล้ว เดี๋ยวจะคัดรุปมาลง Blog ให้ได้ชมกันอีกครั้งแบบเต็มๆนะครับ เผื่อจะได้เอาไว้ใช้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ได้ในอนาคตครับ (เพียงแต่ขอความกรุณรา เขียนเครดิตรูปให้ด้วยก็แล้วกันครับ)

วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วัดอันนาท่าจีน กับ นานาสารพันเรื่องเล่าขาน

"งานฉลองวัดนักบุญอันนา ท่าจีน นี่ระดับน้องๆงานฉลองวัดโคกมดตะนอยเลยนะ"

นี่เป็นหนึ่งในประโยคเด็ด ที่ กอล์ฟ ช่างภาพมือ 1 ของพระศาสนจักร ได้กล่าววาทะเด็ดไว้ ในช่วงก่อนวันฉลองวัดนักบุญอันนา ท่าจีน ประมาณ 3-4 วัน เพื่อจะชวน "โจ้" หนึ่งในช่างภาพฝีมือดี ไปร่วมงานฉลองวัดที่มีความคึกคักและน่าสนใจอีกที่หนึ่ง  ซึ่งในที่สุด พวกเราทั้ง 3 ก็ได้ไป ณ ที่แห่งนี้ด้วยกันครับ

วัดนักบุญอันนา ท่าจีน กับรูปท่านยาย

รูปปั้นนักบุญอันนาขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดนักบุญอันนา ท่าจีน ครับ
วัดนักบุญอันนา ท่าจีน นั้น เป็นวัดคาทอลิกเพียงวัดเดียวในจังหวัดสมุทรสาคร  อยู่ในเขตการปกครองเขต ที่ 5 ของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ปัจจุบัน ( ปี ค.ศ.2015) มีคุณพ่อวิทยา ลัดลอย เป็นเจ้าอาวาส สำหรับท่านที่เดินทางมาโดยรถยนตร์นั้น สามารถมาได้จากเส้นพระราม 2 เมื่อถึงบริเวณมหาชัย ให้วิ่งเข้าในทางคู่ขนาน และเมื่อลงสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนแล้ว ให้เลี้ยวซ้ายเข้าไปตามทาง และวิ่งตามทางไปเรื่อยๆ ประมาณ 3 กม. จะเจอ 3 แยกที่จะเห็นกำแพงวัดช่องลมอย่างชัดเจน ให้เราเลี้ยวขวาและไปอีกเพียง 10 เมตร ก็จะถึงทางเข้าวัดที่อยู่ทางด้านซ้ายมือครับ
หนึ่งในจุดเด่นของวัดนักบุญอันนา ท่าจีน นี้คือ รูปปั้นนักบุญอันนาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย (และอาจจะในภูมิภาคอาเซียนด้วยซ้ำไป) ที่มีความสูงประมาณ 8 เมตร และองค์นี้เพิ่งได้รับการบูรณะเสร็จสิ้น หลังจากที่ได้รับความเสียหายจากกรณีโดนเรือชนเข้าไปบริเวณศาลาริมน้ำ ซึ่งเป็นที่ตั้งเดิมของรูปนี้ครับ โดยขณะนี้ได้มีการอัญเชิญรูปปั้นนักบุญอันนา องค์ใหญ่มาตั้งไว้บริเวณหน้าวัดและมีการทำพิธีเสกใหม่อีกครั้ง ในงานฉลองวัดคราวนี้ด้วยครับ

ศรัทธาล้นหลาม 

เป็นที่ทราบกันดีว่า คริสตชนคาทอลิกโดยเฉพาะผู้หญิง (ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ)  เมื่อรับศีลล้างบาปก็จะได้รับชื่อนักบุญองค์อุปถัมภ์ ซึ่งชื่อนักบุญอันนานั้น ก็มีคริสตชนหญิงนำมาใช้ตั้งชื่อให้ตัวเองทั้งตอนศีลล้างบาปหรือศีลกำลังเป็นจำนวนมาก เช่นเดียวกับ นักบุญเทเรซา นักบุญอักแนส (แต่ชื่อที่ใช้มากที่สุด คือ ชื่อแม่พระหรือ มารีอา นี่เองครับ) ดังนั้น ก็จะมีคนที่ต้องการมาฉลองศาสนนามของตนเอง รวมทั้งคนที่เคารพและศรัทธาในท่านนักบุญอันนา เดินทางมาที่ท่าจีนเป็นจำนวนมากมาย และมาสวดภาวนาทั้งขอบคุณและขอพรพระผ่านทางท่านนักบุญอันนาเป็นจำนวนมหาศาล
ระหว่างพิธีมิสซา 
"ศีลหมด"

จากที่บอกไว้ในข้างต้นละครับว่า งานฉลองวัดนักบุญอันนา ท่าจีน มีสัตบุรุษที่มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมากมายนั้น ก็ทำให้คำกล่าวของกอล์ฟเป็นความจริงที่ว่า งานฉลองวัดท่าจีนนั้น ความยิ่งใหญ่ก็ระดับน้องๆของวัดนักบุญอันตน โคกมดตะนอย ซึ่งทางวัดก็คงทราบในตรงนี้ดี จึงได้เตรียมแผ่นศีลมหาสนิทที่จะใช้ในพิธีมิสซาโอกาสฉลองวัดครั้งนี้ประมาณ 5,000 แผ่น ซึ่งถ้าเป็นงานฉลองวัดที่อื่นทั่วๆไป เชื่อว่าแผ่นศีลก็จะมีเหลือเฟือหลังจากจบพิธีมิสซา บางที่ก็อาจถึงขั้นต้องเชิญศีลไปพักไว้ในตู้ศีลสำรองอีกตู้หนึ่งก็เป็นได้ แต่สำหรับที่นี่ ไม่ใช่ครับ ที่สำคัญไม่พออีกต่างหาก  จนพระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ ประธานในพิธี ยังต้องกล่าวปลอบใจสัตบุรุษว่า ถึงแม้จะไม่ได้รับศีลมหาสนิทแบบแผ่นปังก็ตาม แต่ถ้าเรามีใจปรารถนาที่จะรับศีลมหาสนิทจริงๆ ก็เท่ากับเราได้เชิญพระพรและพระหรรษทานของศีลมหาสนิทเข้ามาประทับในจิตใจด้วยเช่นเดียวกัน นี่จึงเป็นการแสดงให้เห็นถึงสัตบุรุษที่มาร่วมพิธีมิสซาฉลองในวันนี้ว่า มีจำนวนมากมายเหลือเกิน ชนิดทางวัดยังคาดไม่ถึงด้วยซ้ำไป แต่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่ให้เห็นความศรัทธาของสัตบุรุษที่แสดงออกมาอย่างสุดยอดเลย 
  
คุณพ่อจำเนียร กิจเจริญ กำลังแจกศีลมหาสนิท นี่เป็นช่วงเวลาประมาณก่อนที่จะศีลหมดจริงๆประมาณเพียงครึ่งนาทีเท่านั้น แต่ยังมีสัตบุรุษที่่ปรารถนาจะรอรับศีลต่อแถวอย่างล้นหลามอยู่

การสร้างที่ตั้งรูปนักบุญอันนาใหม่

ในปีนี้ นอกจากจะมีการเสกรูปปั้นนักบุญอันนาองค์ใหญ่แล้ว  ทางวัดยังมีการก่อสร้างที่ประดิษฐานรูปนักบุญอันนาองค์ใหญ่ ซึ่งจะอยู่บริเวณจุดเดิมที่เป็นที่ตั้งศาลาริมน้ำและรูปปั้นนักบุญอันนา ที่ได้รับความเสียหายจากการถูกเรือเข้าชนเมื่อปี ค.ศ.2014 ซึ่งทางวัดยังไม่ได้บอกกำหนดเวลาที่แน่ชัดว่า ที่ตั้งรูปปั้นนักบุญอันนาใหม่นี้ จะเสร็จเมื่อใด? แต่เราเชื่อว่า ในงานฉลองวัดนักบุญอันนา ปีหน้า (2016) เราอาจได้เห็นรูปปั้นนักบุญอันนาองค์ใหญ่ ไปประดิษฐาน ณ ที่ตั้งใหม่ บริเวณริมแม่น้ำท่าจีนครับ
.
.

และประกาศให้ทราบโดยทั่วกันครับ ว่า 
วันฉลองวัดนักบุญเปโตร ปี 2015 ตรงกับวันที่ 2 สิงหาคม ครับ และปีนี้เป็นโอกาสพิเศษที่จะฉลองชุมชนแห่งความเชื่อชุมชนนี้ครบ 175 ปีละครับ ขอเชิญสัตบุรุษมาร่วมงานโดยพร้อมเพรียงกันคร้าบบบ

 
 







วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ ณ วัดโรงหมู 2015

พระสงฆ์ที่มาฉลองครบรอบ 25 ปี ในครั้งนี้จำนวน 5 ท่าน จาก 7 ท่าน (ขาดคุณพ่อปิยะชาติกับคุณพ่ออนุรักษ์)

ตั้งแต่สมัยจำความได้มาจนถึงปัจจุบัน นอกจากงานฉลองวัดประจำปี ของวัดแม่พระปฏิสนธินิรมลแห่งเหรียญอัศจรรย์ (วัดโรงหมู) คลองเตย กรุงเทพฯ ซึ่งผู้เขียนเป็นสัตบุรุษลูกวัดนั้น ก็ไม่เคยมีงานใหญ่งานใดเลยที่จะมาจัดที่นี่เลยครับ จนกระทั่งมาถึงปี 2015 นี้ ที่ได้มีโอกาสจัดงานใหญ่ในโอกาสฉลอง 25 ปีชีวิตสงฆ์ ณ วัดแห่งนี้ครับ
คุณพ่อฟรังซิสเซเวียร์ อนุรัตน์ ณ สงขลา
เจ้าอาวาสวัดโรงหมูองค์ปัจจุบัน
โดยที่ในปีนี้ คุณพ่ออนุรัตน์ ณ สงขลา ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดแม่พระปฏิสนธินิรมลแห่งเหรียญอัศจรรย์ (วัดโรงหมู) องค์ปัจจุบันนั้น ได้บวชเป็นพระสงฆ์ เป็นศาสนบริกรที่รับใช้พระเจ้ามาครบ 25ปีในปีนี้ พร้อมกับพระสงฆ์ในอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ที่บวชในปีเดียวกันอีก 6 ท่าน จึงเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่จะมีงานเฉลิมฉลอง และร่วมแสดงความยินดีกับคุณพ่อมา ณ โอกาสนี้ โดยงานที่จัดขึ้น จะจัดตามวัดต่างๆที่คุณพ่อทั้ง 7 ท่านเป็นลูกวัด เป็นผู้ที่เคยทำงานอภิบาลในวัดนั้นๆมาก่อน หรือที่ทำงานในแต่ละวัดในปัจจุบันนี้ ครับ

ถ้าถามว่า ผู้เขียนนี้มีความรู้สึกไง ก็ต้องบอกเลยว่า นี่เป็นความรู้สึกที่ดีใจและตื่นเต้นเป็นพิเศษ เพราะถึงแม้นี่จะไม่ใช่งานแรกที่เราไปร่วมแสดงความยินดีกับพระสงฆ์ที่บวชครบ 25 ปีก็ตาม แต่นี่เป็นครั้งแรกที่งานนี้ ได้จัดที่วัดแห่งนี้ ซึ่งดูจากสภาพภายนอกเป็นวัดหลังเล็กๆหลังหนึ่ง ที่มีสัตบุรุษมาร่วมมิสซาในวันอาทิตย์เฉลี่ยน 40-50 คน ในแต่ละสัปดาห์ แต่การได้มีโอกาสจัดงานแบบนี้ก็ต้องรู้สึกภูมิใจว่าอย่างน้อยวัดเล็กๆแห่งนี้ ได้มีการจัดงานใหญ่เพื่อเฉลิมฉลองแก่พระสงฆ์ที่ยอมสละอุทิศตนเพื่อสัตบุรุษและได้ทำงานรับใช้พระองค์มาจนถึง 25 ปีแล้ว

คุณพ่อสุรนันท์ กวยมงคล
โดยทางวัดได้จัดงาน เมื่อวันอาทิตย์ที่ 19 กรกฎาคม 2015 โดยนอกจากพระสงฆ์ร่วมรุ่นที่บวชพร้อมกับคุณพ่ออีก 4 ท่าน (ซึ่งอีก 2 ท่าน ติดภารกิจ ไม่สามารถมาร่วมได้แล้ว) ทางวัดยังได้เชิญคุณพ่ออติญญาณ พงษ์หว่าน และคุณพ่อโจเซฟ เอช ไมเออร์ มาร่วมงานในครั้งนี้ด้วย ในพิธีมิสซา คุณพ่อยอแซฟ สุรนันท์ กวยมงคล ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมาปฏิบัติหน้าที่ ณ วัดแห่งนี้ สมัยที่คุณพ่อยังเป็นสามเณร ได้มาเทศน์
ให้ข้อคิดจากบทอ่านในมิสซาประจำวันนั้นด้วย

 หลังพิธีมิสซา ตัวแทนสัตบุรุษได้มีการแสดงความยินดีกับพระสงฆ์ที่ฉลองครบ 25 ปีทุกองค์ในโอกาสนี้พร้อมทั้งมอบของที่ระลึกต่างๆให้แก่คุณพ่อทั้ง 5 องค์ ขณะที่คุณพ่ออนุรัตน์ ซึ่งเป็นประธาน

ในมิสซา ได้เป็นตัวแทนของพระสงฆ์ร่วมรุ่น กล่าวขอบคุณพี่น้องสัตบุรุษที่ร่วมจัดงานในครั้งนี้เป็นอย่างดี

หลังจากพิธีการบนวัดเสร็จสิ้นแล้ว  ทางวัดได้มีการจัดเลี้ยงอาหารกลางวันแก่ทุกๆท่านที่ร่วมงานในครั้งนี้  ขณะเดียวกันก็มีการแสดงจากนักเรียนและศิษย์เก่าโรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์ และการจับสลากรับของที่ระลึกจากทางวัด  เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสนี้ด้วยเช่นกัน
 ท้ายที่สุดนี้ ทางผู้เขียนก็ขออนุญาตกล่าวแสดงความยินดีกับคุณพ่อที่บวชครบ 25 ปีทุกท่านในที่นี้ ขอองค์พระเป็นเจ้า องค์พระเยซูคริสตเจ้า แม่พระผู้ปฏิสนธินิรมลแห่งเหรียญอัศจรรย์ องค์อุปถัมภ์ของวัดโรงหมู และนักบุญทั้งหลาย ได้โปรดประทานพระพรและพระหรรษทานแก่คุณพ่อ และให้คุณพ่อมีกำลังทั้งกายและใจ ในการที่จะดูแลและนำปวงประชาสัตบุรุษให้ไปสู่หนทางแห่งความจริงขององค์พระเยซูคริสตเจ้านี้ด้วยเถิด

สัตบุรุษร่วมกันรับประทานอาหาร หลังจากเสร็จสิ้นพิธีบนวัดแล้ว
มอบของที่ระลึกแก่เด็กที่จับสลากได้
การแสดงของนักเรียนโรงเรียนสามัคคีสงเคราะห์